การพัฒนาเด็กสามภาษาด้วยความรักและความเข้าใจในครอบครัว
การพัฒนาเด็กสามภาษาไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป ทุกครอบครัวก็สามารถฝึกลูกให้เป็นเด็กสามภาษาได้อย่างแน่นอน ครอบครัวของเราเล็งเห็นความสำคัญของภาษาที่สามนอกจากภาษาที่หนึ่งภาษาไทยและภาษาที่สองภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาที่สามจะเป็นภาษาอะไรก็ได้ตามความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว
ภาษาไทย: เริ่มจากรู้จักตัวพยัญชนะ สระ และ อ่านคำง่ายๆ เราช่วยพัฒนาลูกได้โดยการอ่านนิทานภาษาไทยให้เค้าฟังก่อนนอน พอเด็กๆเริ่มจำสระได้แม่นยำ เราก็จะเริ่มตัวสะกด ตามด้วยวรรณยุกต์ค่ะ อันนี้เป็นตารางที่คุณแม่กำหนดขึ้นมา คล้ายๆกับการทำ Homeschooling ค่ะ อันที่จริงโรงเรียนของน้องก็มีสอนabcภาษาไทย แต่เราจะช่วยเค้าเสริมไปด้วยค่ะuter โดยสิ้นเชิงำง่ายๆ...
ภาษาอังกฤษ: คุณแม่เริ่มต้นตั้งแต่ให้น้องรู้จัก การ sound เสียงแต่ละตัวอักษร หรือ phonics นั่นเองค่ะ ซึ่งตัวคุณแม่เองก็ค้นหาข้อมูลตามเว็บไซต์ หรือพูดง่ายๆ ว่าเรียนไปพร้อมกับลูกเลยค่ะ ตอนคุณแม่เป็นเด็ก ก็ไม่เคยรู้จักว่า phonics คืออะไร จนกระทั่งน้องเจมมี่และแอฟฟี่ได้เข้าเรียนนี่แหละค่ะ ทุกอย่างอยู่ที่ความตั้งใจในการสร้างลูกให้เป็นเด็กสามภาษาล้วนๆค่ะพอลูกรู้จัก Sound ของแต่ละตัวอักษรแล้ว คุณแม่ก็เริ่มนำ Sight word มาให้ลูกฝึกอ่านและจำ Sight word คือ คำศัพท์ที่พบเห็นบ่อยและไม่สามารถอ่านออกเสียงตามหลัก Phonics ได้ อาศัยการจำค่ะ ดังนั้นยิ่งผ่านตาน้องบ่อยๆ ก็จะทำให้จำได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น การสอนเรื่อง Sight word นี้คุณแม่ได้ทำ Flash card ฉบับของตนเองขึ้นมาด้านหน้าเป็นคำศัพท์ให้น้องได้ฝึกอ่านและจำ ส่วนด้านหลังจะเป็นประโยคที่ใช้ Sight word คำนั้นๆ มาแต่ง พร้อมรูปภาพประกอบ ซึ่งช่วยให้เด็กๆ เข้าใจความหมายของแต่ละคำไปในตัวค่ะ นอกจากนี้คุณแม่จะอ่านนิทานภาษาอังกฤษให้น้องฟังทุกคืนก่อนนอน เวลาอ่านพยายามชี้ตัวหนังสือตามไปด้วย อันนี้ช่วยให้น้องจำคำศัพท์พร้อมการออกเสียงได้ดีค่ะ บางเรื่องน้องจำได้ทั้งเล่มก็มีค่ะ การอ่านมีความสำคัญมากนอกเหนือจากทักษะในการฟังและการอ่านที่ลูกจะได้แล้ว เขายังได้ทักษะการเขียนพ่วงเข้ามาด้วย คำบางคำน้องสามารถสะกดได้เอง เนื่องจากผ่านตาบ่อยๆ นอกจากการนี้การอ่านนิทานยังเปิดโลกแห่งจินตนาการให้น้อง ๆ ด้วยค่ะ ซึ่งต่างจากการดูการ์ตูนจากทีวี หรือ iPad, computer โดยสิ้นเชิง IF YOU BELIEVE IN YOURSELF YOU CAN ACHIEVE ANYTHING กการ sound...
ภาษาจีนภาษาที่สามอาจจะยากเพิ่มขึ้นหน่อย เพราะบางครอบครัวอาจจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับภาษาที่สามที่เราเลือกให้ลูกเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างที่บอกค่ะ ทุกอย่างอยู่ที่ความพยายามของคุณแม่ อย่าท้อถอยนะคะ เราเริ่มเรียนรู้เองก่อน แล้วนำมาสอนเขา หรือเรียนไปพร้อม ๆ กับลูกเลยก็ได้ สำหรับคุณแม่เริ่มต้นภาษาจีนให้น้องเจมมี่และแอฟฟี่โดยการฝึกให้จำคำศัพท์ไปเรื่อย ๆ สะสมคำศัพท์ไป โดยใช้ Flash card บ้าง หรือเห็นสิ่งของในชีวิตประจำวันก็จะบอกเค้าไปเรื่อยๆ ว่าภาษาจีนเรียกว่าอะไร ในขณะเดียวกันคุณแม่ก็ลงเรียนภาษาจีนไปด้วย เพื่อนำความรู้การสนทนาเป็นประโยค รวมถึงการออกเสียงที่ถูกต้องมาถ่ายทอดให้น้องเจมมี่และแอฟฟี่อีกต่อนึง เหตุที่ไม่ได้ให้เค้าเรียนเองเนื่องจากคุณแม่เรียน คุณแม่ก็จะได้รู้เรื่อง เพื่อที่จะมาสอน หรือพูดคุยกับเค้าได้ ถ้าเค้าเรียนเอง คุณแม่ก็ไม่สามารถ มาสอน หรือ ทบทวนเขาได้ดีเท่าที่ควรเนื่องจากคุณแม่ไม่มีความรู้ภาษาจีนมาก่อน แต่ในอนาคตพอเค้าโตอีกสักหน่อย หรือว่าเกินความสามารถของคุณแม่ในการสอนระดับที่สูงขึ้น คงให้เค้าได้เรียนเองโดยตรงจากเหล่าซือ บางครั้งเราสอนลูก เขาก็จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไม่ต้องกังวลนะคะ ทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝน ย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ รับรองเห็นผลแน่นอนค่ะ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวใช่ไหมคะ เช่นเดียวกันค่ะ ขอแค่ให้คุณแม่อย่าท้อถอย และมีระเบียบวินัยในการสอนลูก ๆ ที่สำคัญอย่าคาดหวังว่าเค้าจะต้องอ่านออก เขียนได้ ภายในเวลาเท่านั้น เท่านี้ เพราะจะทำให้เครียดทั้งคุณแม่และคุณลูก คุณแม่ขอยกอีกตัวอย่างที่นำมาใช้กับน้องเจมมี่และแอฟฟี่ คือ Job chart ค่ะ ทุกอาทิตย์คุณแม่จะพิมพ์ Job chart ออกมา โดยระบุว่าในแต่ละวันน้องต้องทำอะไรบ้าง ถ้าวันไหนเค้าทำกิจกรรมตามที่เราเขียน เราก็จะติดสติ๊กเกอร์ให้เค้า พอจบ 1 อาทิตย์ ก็จะนับสติ๊กเกอร์สะสมเป็นคะแนน โดยคุณพ่อจะเป็นคนกำหนดรางวัลของแต่ละระดับคะแนนไว้ วิธีนี้ค่อนข้างใช้ได้ผลสำหรับที่บ้านค่ะ ทำไปเรื่อยๆ เค้าจะเคยชินว่าต้องทำอะไรบ้าง ไม่ต้องมีการบังคับให้ทำค่ะ น้องจะมีความรับผิดชอบมากขึ้นด้วยค่ะ นอกจาก Job chart แล้ว กำลังใจจากคุณแม่เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้ของลูกอย่างมากนะคะ อย่าลืมคำชมอย่างจริงใจให้ลูกๆของเราด้วย ทั้งหมดนี้คือแนวทาง และ ประสบการณ์ตรงที่คุณแม่ได้ใช้ และได้รับมาจากการฝึกฝนลูกที่บ้าน อาจมีผิดบ้างถูกบ้าง วิธีการที่จะไปถึงจุดหมายของแต่ละบ้าน อาจจะแตกต่างกันตามความเหมาะสม ความถนัดของคุณแม่ หรือความสนใจของคุณลูก แต่วัตถุประสงค์ที่อยากจะสื่อถึงคุณแม่ทุกๆครอบครัวคือ ความพยายามของเรา คือความสำเร็จของลูกค่ะ ขอให้คุณแม่อย่าถอดใจ ผลลัพธ์ที่ได้ไม่มีติดลบแน่นอนค่ะ เราจะมีแต่ความภาคภูมิในตัวลูกของเราที่เห็นเค้าพัฒนาขึ้นทุกวันๆ ไม่มากก็น้อยค่ะ ระหว่างทางไปยังจุดหมายอาจมีสะดุดบ้าง หกล้มบ้าง เป็นธรรมดาค่ะ ล้มได้แต่ให้รีบลุก แล้วหาทางแก้ไขต่อไปค่ะ เพราะเด็กแต่ละคนมีความสามารถ ความสนใจ แตกต่างกัน เราผู้เป็นแม่ต้องคอยสังเกตและปรับการสอนให้ถูกจริตลูกๆของเราค่ะ สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังให้ผู้ปกครองทุกท่านให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่าท้อนะคะเพื่อแก้วตาดวงใจของเราาท้อนะคะเพื่อแก้วตาดวงใจของเราน่อย...